สำนักงานทนายความ

ตอบ

ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
พิมพ์ชื่อประเทศของเราลงไป ::

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: pramook_law
« เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2017, 07:52:30 PM »

ดิฉันเป็นหลานของผู้ตาย โดยผู้ตายมีบุตร 2 คนกับสามีคนแรก แต่หลังจากมีบุตรผู้ตายมีสามีใหม่ ซึ่งอยู่กินกันมา 30 ปี ก่อนหน้านี้โดยมิได้จดทะเบียนสมรส เมื่อผู้ตายเสียชีวิต สามีใหม่ไม่ยอมแบ่งทรัพย์สินแก่ลูกหลานของผู้ตาย ทั้งที่ผู้ตายได้สั่งเสียไว้กับพี่น้องของตน อีกทั้งตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ทั้งสองอยู่ด้วยกัน มีพยานรู้เห็นว่าสามีใหม่ของผู้ตายได้มีภรรยาน้อยไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แม้กระตอนผู้ตายกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งมีการบอกกับผู้ตายว่าจะให้หญิงสาวต่างด้าวที่ตนติดพันอยู่เข้ามาอยู่ในบ้านเพื่อดูแลผู้ตายและทำความสะอาดบ้านโดยมีพยานรู้เห็นเป็นคนระแวกนั้นและเพื่อนร่วมงานของผู้ตาย แต่ไม่เป็นผลสำเร็จเพราะผู้ตายไม่ยินยอม จนในที่สุดผู้ตายอาการทรุดหนัก ตาลอย ตัวเหลือง เกร็ง และกระตุก ตอน6 โมงเช้าวันที่ 18 พ.ค. 60 โดยมีข้าพเจ้าและสามีใหม่ของผู้ตายเป็นคนดูแล ข้าพเจ้าบอกให้พาผู้ตายไปหาหมอ แต่สามีใหม่ของผู้ตายบอกว่าให้รอก่อน จนกระทั้งเวลา 7 โมงเช้า เพื่อนร่วมงานมาเยี่ยมผู้ตายเห็นท่าไม่ดีจึงเรียกรถพยาบาลมารับ โดยสามีใหม่ของผู้ตายทำท่าเหมือนไม่ค่อยพอใจ กระทั่งถึง รพ. เขาหายไปสักพัก โดยข้าพเจ้าเฝ้าดูอาการผู้ตายอยู่ที่รพ.ตลอด ต่อมาวันที่ 19 พ.ค. 60 ผู้ตายเสียชีวิตลงที่ รพ.ตอนเช้า เมื่อเสร็จงานบำเพ็ญกุศลในวันที่ 23 พ.ค. ข้าพเจ้าและมารดา ซึ่งเป็นบุตรหลานของผู้ตาย ไปแจ้งความและนำเอกสารไปติดต่อที่ธนาคารแห่งหนึ่งที่ผู้ตายเปิดบัญชีไว้ ซึ่งธนาคารแจ้งว่าก่อนหน้านี้เงินบัญชีมีประมาณ 190,040 บาท แต่ได้ถูกกดออกไปทางตู้เอทีเอ็มตอนช่วงบ่าย วันที่ 18 พ.ค. 60 จำนวน190,000 บาท ซึ่งบัญชีนี้มีชื่อผู้ตายเพียงผู้เดียว และเป็นไปไม่ได้เลยว่าผู้ตายจะเป็นคนไปกดออกมาเอง

ด้วยเหตุเช่นนี้ บุตรหลานควรกระทำการใดต่อไปดีคะ....รบกวนขอคำปรึกษาด้วยค่ะ
ติดต่อมาได้ครับ
ข้อความโดย: Waritsara Bunpheng
« เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2017, 08:54:14 PM »

ดิฉันเป็นหลานของผู้ตาย โดยผู้ตายมีบุตร 2 คนกับสามีคนแรก แต่หลังจากมีบุตรผู้ตายมีสามีใหม่ ซึ่งอยู่กินกันมา 30 ปี ก่อนหน้านี้โดยมิได้จดทะเบียนสมรส เมื่อผู้ตายเสียชีวิต สามีใหม่ไม่ยอมแบ่งทรัพย์สินแก่ลูกหลานของผู้ตาย ทั้งที่ผู้ตายได้สั่งเสียไว้กับพี่น้องของตน อีกทั้งตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ทั้งสองอยู่ด้วยกัน มีพยานรู้เห็นว่าสามีใหม่ของผู้ตายได้มีภรรยาน้อยไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แม้กระตอนผู้ตายกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งมีการบอกกับผู้ตายว่าจะให้หญิงสาวต่างด้าวที่ตนติดพันอยู่เข้ามาอยู่ในบ้านเพื่อดูแลผู้ตายและทำความสะอาดบ้านโดยมีพยานรู้เห็นเป็นคนระแวกนั้นและเพื่อนร่วมงานของผู้ตาย แต่ไม่เป็นผลสำเร็จเพราะผู้ตายไม่ยินยอม จนในที่สุดผู้ตายอาการทรุดหนัก ตาลอย ตัวเหลือง เกร็ง และกระตุก ตอน6 โมงเช้าวันที่ 18 พ.ค. 60 โดยมีข้าพเจ้าและสามีใหม่ของผู้ตายเป็นคนดูแล ข้าพเจ้าบอกให้พาผู้ตายไปหาหมอ แต่สามีใหม่ของผู้ตายบอกว่าให้รอก่อน จนกระทั้งเวลา 7 โมงเช้า เพื่อนร่วมงานมาเยี่ยมผู้ตายเห็นท่าไม่ดีจึงเรียกรถพยาบาลมารับ โดยสามีใหม่ของผู้ตายทำท่าเหมือนไม่ค่อยพอใจ กระทั่งถึง รพ. เขาหายไปสักพัก โดยข้าพเจ้าเฝ้าดูอาการผู้ตายอยู่ที่รพ.ตลอด ต่อมาวันที่ 19 พ.ค. 60 ผู้ตายเสียชีวิตลงที่ รพ.ตอนเช้า เมื่อเสร็จงานบำเพ็ญกุศลในวันที่ 23 พ.ค. ข้าพเจ้าและมารดา ซึ่งเป็นบุตรหลานของผู้ตาย ไปแจ้งความและนำเอกสารไปติดต่อที่ธนาคารแห่งหนึ่งที่ผู้ตายเปิดบัญชีไว้ ซึ่งธนาคารแจ้งว่าก่อนหน้านี้เงินบัญชีมีประมาณ 190,040 บาท แต่ได้ถูกกดออกไปทางตู้เอทีเอ็มตอนช่วงบ่าย วันที่ 18 พ.ค. 60 จำนวน190,000 บาท ซึ่งบัญชีนี้มีชื่อผู้ตายเพียงผู้เดียว และเป็นไปไม่ได้เลยว่าผู้ตายจะเป็นคนไปกดออกมาเอง

ด้วยเหตุเช่นนี้ บุตรหลานควรกระทำการใดต่อไปดีคะ....รบกวนขอคำปรึกษาด้วยค่ะ